ความสำคัญของการดื่มน้ำ

วิ่งแล้วเสียเหงื่อ ทำให้เลือดข้น หัวใจก็ทำงานหนัก
กินน้ำชดเชยส่วนที่เสียไป
กินให้ความเหลว ความใสของเลือด ใกล้เคียงหนุ่มสาว
ก็ทำให้วิ่งไปได้เรื่อยๆ

เหตุใหญ่ร่างกายเสียเหงื่อเพื่อระบายความร้อน
วิ่งแบบตัวไม่ร้อน ยังคิดไม่ออก
วิ่งแล้วตัวร้อน ก็ต้องกินน้ำทดแทนไว้

สำคัญว่า กินน้ำให้พอเหมาะพอดี
กินมากไป…ยุ่งได้เหมือนกัน
สรุปง่ายๆว่า…กินมันทุกจุดที่ให้น้ำ
ไม่หิวก็ต้องกิน…อย่าขี้เกียจรับน้ำ

ผมเคยอ่านหนังสือของแพทย์จีน
เวลาเห็นคนหน้าตาแดงผิดปกติ เขามีประสบการณ์ว่า…ให้ระวัง

อ่านเหตุผลไปเรื่อย ก็พบว่า…เป็นอาการของเลือดเหนียว เลือดข้น
ความข้นเหนียวที่มากขึ้น การไหลในหลอดเลือดก็ไปได้ยาก
ปลายทางก็ขาดอาหาร สัญญาการเร่งปั้มเกิดไปที่หัวใจ
หัวใจเร่งปั้มโลหิต…ในสภาพเลือดข้น…ความดันมันก็สูง
สูงมากๆ ก็ตายคาเตียง…ตายกำลังยืน เดิน นั่ง นอน
ที่เรียกกันในสมัยใหม่ว่า…เส้นเลือดในสมองแตก

หมอแผนโบราณจีน…
เก็บความรู้เรื่องเลือดเหนียวเอาไว้ เป็นความลับของราชสำนัก
อีกทั้งยังเก็บวิธีรักษาไว้เป็นความลับ
ปัจจุบัน การรักษากลับแพร่หลาย..คือใช้”ยาบำรุงหัวใจ”
“ยาบำรุงหัวใจ” ของจีน..มีสูตรทำให้เลือดใสขึ้น
เวลาหมอแมะแล้ว…ก็จัด”ยาบำรุงหัวใจ”
ที่จริงเป็นยาลดการทำงานหนักของหัวใจ
กินแล้วความดันก็ลดลง เพราะเลือดไหลคล่องขึ้น

ในปัจจุบันหมอฝรั่งก็ทำให้เลือดใสขึ้น เพิ่อช่วยคนป่วยความดัน..
ให้กิน”เบบี้แอสไพริน”..กินทีละนิดๆ ให้เลือดใสขึ้นมาบ้าง..
ความดันก็ไม่อันตราย….นีเป็นวิธีของหมอ

แต่หากเราจะดูแลสุขภาพตัวเอง…ต้องกินแบบปู่ ย่า ตา ยาย
เวลาทำแกงใส่กระทิ..ก็ใส่มะเขือ
มะเขือนี่แหละ ช่วยกำจัดไขมันในเส้นเลือดได้
คนโบราญกินแกง..ไม่ตาย
ไม่รู้มาก…แต่ทำถูกวิธี
เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยกินมะเขือ…ไขมันก็พอกพูน…
ต่อไปไม่ต้องเล่าต่อ…คิดเอาเองได้

สูตรของจีน…ใช้เห็ดหูหนูดำ…กินเป็นอารหาร ทำให้เลือดใส…
อยากลอง ก็ลองกินให้มากหน่อย..เลือดใสเหมือนหนุ่มสาว..
ก็วิ่งได้เร็วเหมือนหนุ่มสาว…

การกินน้ำก็ช่วยเลือดให้ใสขึ้น…วิ่งก็ไม่ทรมานหัวใจ
น้ำเป็นองค์ประกอบถึง 80 % ของร่างกาย
อย่ามองข้ามเรื่องนี้

ขืนขี้เกียจกินน้ำ..ให้ได้ชื่อว่ามีน้ำอดน้ำทน ไม่ถูกต้อง

อ.กฤตย์

Hyponatremia

เป็นเวลานานมาแล้ว ตลอดชีวิตวิ่งของผู้เขียนที่มีความสังหรณ์ใจเรื่องภาวการณ์รับน้ำของนักวิ่ง ระหว่างการฝึกหนักและแข่งขันวิ่งระยะไกลว่า การที่รับน้ำน้อยเกินไป มีอันตรายนั้นใครๆก็ทราบกันแล้ว แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากเรารับมากเกินไปเล่า จะมีอะไรไหม ใดๆในโลกสุดโต่งนั้นไม่ดีแน่

ผู้เขียนได้ Assumption มาจากพุทธศาสนา เรื่องทางสายกลาง ถึงยังได้มีความสังหรณ์ใจอยู่เรื่อยๆแต่เงียบไว้เนื่องจากไม่มีข้อมูล โลกโลกาภิวัตน์ที่เคยคิดว่า เป็นสังคมที่อุดมด้วยข่าวสาร แต่ในทางปฏิบัติ พบว่า เป็นข่าวสารตามกระแสเสียเกือบทั้งหมด ที่ความเป็นจริงสำคัญมากๆในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจซุกกองกระจุกอยู่ใต้หัวเข็มหมุดในก้นลิ้นชักจิ๋วๆที่ไม่ค่อยได้เปิด การที่คลิกผิดเว็บหรือเลี้ยวผิดแยก อาจไปร่อนลงที่ดาวพลูโตของกาแลกซี่โพ้นฟ้าฝั่งข้างโน้นก็ได้ ปัญหาของผู้บริโภคข่าวสารก็คือ การแยกแยะข่าวจริงและข่าวคุณค่าออกจากข่าวขยะ

ระหว่างเส้นทางท่องโลกวิ่ง บนกองหนังสือ ผู้เขียนรอคอยอยู่เสมอถึงผลวิจัยใหม่ๆที่ระบุบ่งถึงอันตรายสุดโต่งของการรับน้ำมากเกินไปตอนซ้อมหรือแข่ง แต่มักพบว่า “ว่างเปล่า” ความคืบหน้าของความรู้จากฝั่งตะวันตกยังไม่เปลี่ยนแปลง

จู่ๆ ของที่แอบซ่อนก็ถูกค้นพบ ไม่ทราบว่า มีคนรื้อลิ้นชัก แล้วพบขุมทรัพย์ใต้หัวเข็มหมุดโดยบังเอิญ หรือเป็นข่าวสารที่ Manipulated ใหม่ที่มีสถานะเป็นเพียงก้อนกรวดเล็กๆจาก Someone ? โยนถามทางมาก่อนเจตนารมณ์จริงจะเปิดเผยตามมาทีหลังว่า การรับน้ำมากไปจะมีอันตราย โดยมีตัวอย่างให้เสร็จสรรพ

อนึ่ง..เรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ระบุให้ชัดเจนยังไม่ได้ เพราะข่าวสารได้มาจากแหล่งที่ไม่แน่ใจว่าเชื่อถือได้ขนาดไหน คือ คือจาก IMMDA (International Marathon Medical Directors Association) จากโลกทุนนิยมอเมริกา ที่กล่าวถึงพิษภัยจากภาวะ Over Hydration เป็นเรื่องที่นักวิ่งมาราธอนควรระมัดระวัง ไม่ใช่เป็นคำเตือนสำหรับคนทั่วไปที่ไม่วิ่ง

รายงานข่าวแจ้งว่า จำนวนนักวิ่งผู้ประสบเหตุการณ์ร้ายๆจากการรับน้ำมากเกินไปถูกรายงานมากขึ้น ในรอบ 10 ปีมานี้** ซึ่งเป็นคาบระยะเวลาเดียวกันกับ ข่าวสารมุมตรงกันข้ามเรื่อง Dehydration ถูกประโคมข่าวนั่นเอง

ล่าสุด เท่าที่ทราบ ผู้ป่วยมาจากรายของนักวิ่งหญิงวัยกลางคนที่ล้มลงกลางสนามบอสตันมาราธอน 2003 และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ที่ภายหลังถูกชันสูตรพบว่า มีระดับเกลือโซเดียมในกระแสเลือดลดต่ำลงมากจนเป็นอันตราย เหตุเป็นเช่นนี้เพราะมีน้ำเข้าระบบไปเจือจางมากนั่นเอง

จากนั้น ตัวอย่างในอดีตที่เป็นเหตุการณ์คล้ายๆทำนองนี้ ถูกยกขึ้นมารายงานอีกรายแล้ว รายเล่า จากหนังสืออื่น ช่องทางอื่น เรื่อยๆ ความป่วยไข้และภาวการณ์เสียชีวิตของนักวิ่งในปรากฏการณ์ที่รับน้ำมากเกินไป (Over Hydration) นี้มีชื่อว่า Hyponatremia ที่ผู้เขียนพบครั้งแรกในเน็ทที่มีเพื่อนนักวิ่งผู้พบข่าวสารใต้หัวเข็มหมุด นำมาโพสไว้ นี่นับเป็นข่าวสารชิ้นแรกๆ ที่ต่อๆมาเสียงขานรับก็ก้องสะท้อนเป็นระลอกๆ

ถ้าเราอยู่ในสังคมอ่อนข่าวสารอย่างเก่า ก็พอเข้าใจ พอทำใจ แต่นี่มันยุค Information Age แปลกใจที่ตัวเองหาเท่าไรก็ไม่เคยพบสักที จนกระทั่งต้องมีผู้มาล้มลงตายเสียก่อน

จำเดิม ที่เคยดูแลตัวเอง และนักวิ่งที่มาฝึกด้วย เมื่อรู้มาแค่ไหนก็นำมาบอกแค่นั้น ก็บอกเล่าไปให้รับน้ำมากๆ ตราบใดที่คุณดื่มแล้วไม่จุก As much fluid as you can เพราะไม่เคยมีตัวอย่างอันตรายจากผู้รับน้ำมากเกินไปในเมืองไทยเลย นี่ผู้เขียนจึงต้องนำเรื่องนี้ไปหมายเหตุและขยายต่อ แต่ไม่สามารถทำความกระจ่างในบทความเก่าๆของตัวเองที่ว่าด้วยเรื่องรับน้ำทุกแห่งที่เขียนไว้ได้ จึงต้องอาศัยบทความใหม่นี้ไล่กวดตามการรับรู้ของพวกเราไป

เนื้อหาโดยละเอียดที่มากกว่านี้ ก็ดูมีไม่มากนัก นอกจากรายงานที่ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งสิ่งที่พวกเราอยากรู้มากที่สุด ก็คือ รายงานการศึกษาในเมืองไทย ยิ่งเกือบจะเป็นสิ่งที่ไร้หวัง แต่ไม่แน่ อาจมีให้เรารับรู้ในเวลาไม่นานนี้ก็ได้ ด้วยว่าธรรมชาติของปรากฏการณ์นี้น่าจะปรากฏในสนามที่ใช้คุณสมบัติของนักกีฬาที่อึดทนมากกว่าความเร็ว เช่นสนามอุลตร้ามาราธอน ที่ได้ข่าวว่าปีนี้จัดบ่อย และเดือนกันยา (48) นี้ก็อาจจะมีอีก หนทางที่ควรระมัดระวังที่ดีประการหนึ่งที่อยากจะแนะนำผู้วิ่งและที่สำคัญคือผู้จัดก็คือ ให้เตรียมเครื่องชั่งน้ำหนักตัวคนไว้ประจำเต็นท์กลาง เพื่อให้นักวิ่งเช็คน้ำหนักรักษาระดับภาวะอวบน้ำทุกรอบระยะอย่างเอาจริงเอาจัง โดยรักษาระดับสเกลให้เท่าเดิมอยู่ตลอด นั่นหมายความว่า นักวิ่งจะต้องชั่งก่อนออกตัวและถือตัวเลขนั้นเป็นมาตรฐานของจำเพาะตัวแล้วดื่มน้ำ , น้ำหวานหรืออิเลคโตรไลท์ ไม่ให้ขึ้นหรือลดต่ำกว่านี้ไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

ปรากฏการณ์ Hyponatremia นี้มักมีรายงานว่าเกิดในสนามมาราธอน (ไม่ใช่สนามแข่ง 10 โล) มักจะเกิดในเมืองหนาว (ไม่ใช่เมืองร้อนแบบบ้านเรา) และมักจะเป็นหญิงมากกว่าชาย (ชายเล่า?และทำไม) และมักจะเป็นแนวหลังที่ไม่ใช่แนวหน้าที่วิ่งเร็ว ประการหลังๆน่าจะอธิบายได้ว่า พวกเขามีเวลาที่จุดสถานีน้ำได้มาก โดยไม่ต้องไปกังวลกับเวลาที่เสียไป ประกอบกับข่าวสารที่โหมประโคมเรื่องอันตรายจาก Dehydration เลยล่อน้ำเข้าไปเยอะแยะ จุดแล้วจุดเล่า แล้วเป็นสนามที่เมืองหนาว เหงื่อก็คงจะออกน้อยพอๆกับความเป็นแนวหลังนั่นเอง พอเหงื่อออกน้อย น้ำที่เป็น Input มันก็ท่วม Output ทำนบก็เลยแตกในที่สุด และที่มักเป็นสนามมาราธอน ก็คงเพราะว่าในระยะแข่งที่สั้น กว่าทำนบจะแตก ก็ถึงเส้นชัยแล้วนั่นเอง แต่ทำไมที่ต้องเป็นหญิงมากกว่าชายนั้น คงมีตัวแปรมากมายที่สามารถตั้งเป็น Hypothesis ได้ หรือจะเป็นเพราะเหตุง่ายๆว่าหญิงมักวิ่งช้ากว่าชายเท่านั้นเองกระนั้นหรือ? นี่เรายังไม่รู้อะไรอีกตั้งเยอะ !!!

โดยภาพรวม ผู้เขียนยังไม่ต้องเปลี่ยนแผนแนวทางของนักวิ่งมาราธอนบ้านเราทั้งฝึกและแข่งเรื่องการรับน้ำ แต่ที่ควรบอกเล่าให้พวกเรายังต้องรับน้ำมากเท่าที่ต้องการและรับให้เกินไปอีกก็ยังได้ เพราะถ้าจะรอให้กระหายเสียก่อน ก็อาจจะสายเกินไป การที่เราพบปรากฏการณ์ Hyponatremia มีตัวตนอยู่ในโลก ก็มิได้หมายความว่าจะไปลดอันตรายจากภาวะ Dehydration ลงก็หาไม่

ยิ่งบ้านเรา ร้อนเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ การแก้ปัญหาของนักวิ่งแนวหลังด้วยการปล่อยตัวตอนตีสามตีสี่ก็ยังไม่พอเพียง เคยแนะนำไปว่าให้ปล่อยตัวตอนหกโมงเย็น ดูจะไม่มีผู้จัดใดนำพาและสนใจ เอาจุดยืนผู้จัดมากล่าวเป็นเจ้าเรือนว่า “จัดยาก” มากกว่าจุดยืนนักวิ่งเป็นหลักว่า “ยิ่งวิ่ง ยิ่งเย็น” พวกเราจึงยังต้องลำบากกันต่อไป

หากผู้เขียนส่งสารขานรับปรากฏการณ์ Hyponatremia แรงไป พวกเราที่มักจะกินน้ำน้อยอยู่แล้ว จะถูกผลักไสให้รับน้ำน้อยลงเข้าไปอีก อย่าลืมว่ายังไม่มีรายงานอันตรายเรื่องนี้ในบ้านเรา กระทั่งไม่มีนักวิ่งเมืองร้อนเมืองใดในโลกพบภาวะ Over Hydration เลยแม้แต่รายเดียวนะครับ

กระแสรับน้ำให้น้อยเพื่อฝึกน้ำอดน้ำทนยังฝังติดเนื้อติดตัวมีอยู่เรื่อยๆ Old habits Die hard

จุดสำคัญอีกประเด็นที่ผู้เขียนหมายใจจะกล่าวเอาไว้ดักคอก็คือ ให้นักวิ่งระวังเอาไว้ว่า กระแสของภาวะ Hyponatremia จะถูกเล่ห์กลของ พวก Creative จากบริษัทโฆษณาลากจูงจมูกผู้บริโภคให้เชื่อถือสินค้าเครื่องดื่มของบริษัทนี้…..สามารถดื่มได้ดื่มดี โดยปลอดภัยกว่าการดื่มน้ำปกติ ในการแข่งขันหรือซ้อม แล้วก็ยกผลการศึกษาวิจัยที่พบว่า ดื่มน้ำแล้วอันตราย (ถึงตายได้นะ…มีตัวอย่างมาแล้ว) เอามาขู่ ว่าแล้วก็เอาระดับเกลือแร่ที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มของเขามาเป็นสิ่งประกันว่า การดื่มสินค้านั้นเข้าไปแล้ว ก็จะเท่ากับเติมระดับโซเดียมเข้าไปชดเชยอยู่เรื่อยๆ แล้วจะ ซ.ต.พ. ว่า จงอย่าดื่มน้ำธรรมดา แต่จงดื่ม…..อันนี้แทน อันนี้ขอให้จับสังเกตเอาไว้ จะต้องมีมาแน่ๆ

ทั้งๆที่ตรรกข้อนี้ นักวิ่งสามารถรับมือจัดการกับมันด้วยตนเองด้วยบุคลิกของผู้บริโภคที่ฉลาดและเต็มไปด้วยความรู้เท่าทัน โดยการรับน้ำหวานที่มีเกลือผสมอยู่อย่างเจือจางลงไปเรื่อยๆก็ได้ ไม่ต้องเป็นเครื่องดื่มจากบรรษัทข้ามชาติเสมอไป การเป็นนักวิ่งที่ดี สามารถเป็นได้อย่างฉลาดเฉลียวไปพร้อมๆกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของนักต่อต้านโลกาภิวัตน์เท่านั้นที่จะต้องมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้

ตราไว้เมื่อ
6 พฤษภาคม 2548

**อ้างจาก Liz Applegate
Nutrition
R.W. March 2004 P.22

0
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณได้นะครับx
X