การออกกำลังกายนะหรือ?.ผมไม่มีเวลา

เรื่องการพูดชักชวนให้ชาวบ้านชาวช่องออกจากโต๊ะทำงานหรือลุกจากหน้าจอโทรทัศน์มาออกกำลังกาย

ผมน่ะท้อเสียแล้วล่ะครับ ให้พูดชักชวนอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละแต่เรื่องชวนไปออกกำลังกายนี่พูดยากครับ

เพราะผู้ที่เรามุ่งหวังจะให้เขาได้ประโยชน์เค้าก็ฟังดีอยู่นะครับเห็นคล้อยตามไปหมดไม่ขัดแย้งเลย

เพียงแต่ลงท้ายด้วยการสนทนาว่า “ก็ดีหรอกครับ?แต่ผมไม่มีเวลา” เก้าในสิบรายจะตอบเช่นนี้

หลังๆมาผู้เขียนจึงไม่ใคร่ชวนใครแล้วเพราะชวนแล้วไม่สำเร็จ แต่มาวันนี้ผู้เขียนกลับมาเขียน

เรื่องที่น่าเบื่อหน่ายนี้ คือเรื่องชวนคนอื่นไปออกกำลังกายอีกครั้งด้วยเห็นว่า เขียนตรงนี้ทีเดียวจะได้ผู้อ่าน

มากๆเท่ากับเป็นการประหยัดพูดไปได้หลายร้อยครั้ง อาจคุ้มค่าอยู่จะได้ไม่ต้องไปอธิบายกันหลายคน

ดีไหมครับ ผู้เขียนคาดหวังผู้อ่านอยู่สองกลุ่ม คือกลุ่มผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังและมักอ้างว่าไม่มีเวลานี้กับกลุ่ม

ผู้ที่ออกกำลังกายอยู่แล้วและอาจไปชักชวนให้ผู้อื่นมาออกกำลังได้เตียมตัวตั้งรับกับคำว่า

“ผมไม่มีเวลา” เพราะคุณจะต้องได้เจอคำแก้ตัวนี้แน่ๆรับรองเลยครับ บทความนี้จึงไม่ใช่เริ่มต้นจากการ

ชักชวนให้ผู้คนต่างๆไปออกกำลังกันอย่างธรรมดาแต่กลับเริ่มตรงที่ไปชวนแล้วและได้รับคำตอบว่า

ไม่มีเวลาเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งถ้าผู้อ่านเป็นคนที่ตอบแบบนี้ยิ่งสมควรที่ต้องอ่านอย่างยิ่งเลยครับ

เราต้องเริ่มทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อนว่า

1. ในทุกวันนี้ พวกเราทั้งหลายต่างต้องการความแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจมากกว่ายุคสมัยใด

ที่ผ่านมา เพราะโลกยุคโลกาภิวัฒน์มีความเสื่อมโทรมจากมลพิษที่มากกว่าแต่ก่อน ทั้งมลพิษที่เข้าทางปาก,

เข้าทางหู,แม้แต่มลพิษทางใจ ซึ่งโดยธรรมชาติ ร่างกายมักจะปรับความสมดุลย์ขับถ่ายออกทางอายตนะต่างๆ

อยู่แล้ว แต่นับวันมลพิษเหล่านี้มีมากมายยิ่งขึ้นไปอีก การที่เราจะมีพฤติกรรมที่จะช่วยให้ธรรมชาติสะสาง

มลพิษจากร่างกายเราได้เร็วได้มากเท่าไร ย่อมจะเป็นความฉลาดใช่ไหมครับ นอกจากมลพิษแล้ว

ยังมีภาวะความเครียดจากการงาน มีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันมาก ร่างกายไม่เคยได้รับภาวะ

หนักใดๆอีก ส่งผลให้ร่างกายใช้แรงที่น้อยลงในกิจวัตรในการงานอาชีพ สำหรับบางท่านก็ขาดความสมดุลย์

ในการใช้ร่างกายกับสมอง (Sedentarian) หรือแม้แต่ภาวะสูงอายุซึ่งบางท่านก็อาจพบทุกปัญหานี้เลย

ภาวะเช่นนี้ไม่เคยพบว่า ยุคใดไม่เคยประสบปัญหาเหล่านี้มากเท่ายุคปัจจุบันเลย

2. ยิ่งคุณไม่มีเวลาอย่างที่ว่า ยิ่งต้องหาเวลาออกกำลังแทรกลงไปให้ได้ เพราะยิ่งคุณ Busy มากเท่าไร

จะเท่ากับคุณถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของผู้ป่วยมากเท่านั้น ทั้งโรคมะเร็ง,โรคหัวใจ,โรคเบาหวาน,

โรคเกี่ยวกับหลอดเลือด,โรคเกี่ยวกับความดัน,โรคภูมิแพ้,โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โอ้ย..เยอะแยะ

จารนัยไม่หมด ซึ่งโรคเหล่านี้ต้องแก้ไขป้องกันด้วยการออกกำลังทั้งนั้นเลย

3. ข้อนี้สำคัญที่สุด ผู้เขียนขอวิจารณ์แรงๆว่า ผู้ที่บอกไม่มีเวลานั้น แสดงว่าเขาไม่เห็นความสำคัญของสิ่งนั้น

หรือเห็นสิ่งอื่นมีความสำคัญกว่า เช่น เมื่อคุณปฎิเสธตัวแทนขายสินค้าที่เข้าพบคุณด้วยข้ออ้างว่า

ไม่มีเวลานั้น ย่อมแสดงว่าคุณไม่ให้ค่ากับสินค้าตัวนั้น รู้สึกเสียเวลาที่จะมานั่งฟังตัวแทนมานั่งสาธยาย

สรรพคุณ อีกสักตัวอย่าง นักธุรกิจผู้มีภาระยุ่งมากขนาดสัปดาห์มี 7 วันยังไม่รู้สึกเพียงพอแต่ท่าน

ก็ปลีกเวลา 1 วันเต็ม ตัดภารกิจให้ผู้อื่นทำแทนหมดเพื่ออุทิศวันนั้นให้กับครอบครัว ให้กับลูกเพราะท่าน

ตระหนักว่า ท่านต้องการความรักเล็งเห็นความสำคัญของครอบครัวที่ต้องอบอุ่น นอกจากความสำเร็จทาง

ด้านการงานการเงิน คนเราถ้าเห็นความสำคัญของอะไรก็ปลีกเวลาได้เสมอแหละครับ ยิ่งเห็นความสำคัญ

มากก็ยิ่งมีเวลาให้มากเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อคุณบอกว่า “ไม่มีเวลา” ย่อมแปลว่า คุณเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าการ

มีสุขภาพที่ดี พูดง่ายๆป่วยไม่ว่า ขอให้รวยไว้ก่อน คุณกำลังหลงไปว่า ความมีสุขภาพสมบูรณ์ย่อมซื้อได้

เหมือนกับสิ่งต่างๆในสังคมนี้

4. เมื่อเราตัดสินใจไม่ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย เช่น ไม่ซื้อรองเท้าวิ่ง ไม่ซื้อจักรยานหรือลู่วิ่ง นั่นเท่ากับเรา

เพิ่มความเสี่ยงในรายจ่ายให้กับแพทย์และกระบวนการบำบัด ซึ่งนั้นมีรายจ่ายแฝงเพิ่มอยู่ในโอกาส

ที่สูญเสียไปกับการที่จำต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาล แทนที่จะไปทำงานหารายได้ในมูลค่าที่แพงกว่า

หลายร้อยหลายพันเท่า มันไม่ค่อยฉลาดเลยนะครับ ยังไม่พอเพียงเท่านี้ เรายังแสวงหาโรคเข้ามาซ้ำเติม

ด้วยเหล้า,บุหรี่ และการสำส่อนเข้าไปอีก เลิกได้ละก็เยี่ยมเลย

5. ควรเข้าใจว่าสุขภาพที่สมบูรณ์ เป็นเรื่องที่ต้องทำแต่เนิ่นๆ เป็นเรื่องป้องกัน ไม่ใช่การรักษา

การที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมจากการที่ไม่เคยออกกำลังชนิดใดมาเลยมาเป็นผู้ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ

จำต้องเปลี่ยนแปลงกิจวัตรพอสมควรจากที่เคยทำบางสิ่งได้อาจจะไม่ได้ทำอย่างนั้นอีกในเวลาเดิม

ผู้เขียนไม่แนะนำให้พิจารณาตารางกิจวัตรประจำวัน ว่าจะใส่ครึ่งชั่วโมงของการออกกำลังกายลงไป

ในเวลาใด หากแต่ให้ดูกิจวัตรประจำสัปดาห์แทนซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้น่าจะพอหาที่แทรกได้อยู่

เพราะเราต้องการเพียงครึ่งชั่วโมงที่ต่อเนื่องกัน สัปดาห์ละอย่างน้อย 4 ครั้งและมีความสม่ำเสมอด้วยเท่านั้น

จะว่าไม่ยากก็ไม่ยากนะครับ

ลองพิจารณาให้การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมแรกๆของชีวิตที่คุณต้องทำโดยให้มองว่าเป็นสิ่งสำคัญ

ที่จะขาดเสียไม่ได้ เช่น ชีวิตครอบครัว,ลูก,การงาน การอาชีพหรือการปฎิบัติธรรมเป็นสิ่งแรก

ส่วนความบันเทิง,มิตรภาพ,และการเข้าสังคมเป็นสิ่งรอง ต่อไปเราต้องกำหนดจัดลำดับการออกกำลังกาย

ให้อยู่ในบัญชีของสิ่งแรกที่เพิ่มเข้าไปด้วย เพราะตราบใดที่เราจัดการออกกำลังกายไว้ในบัญชีที่สอง

หรือที่สาม เราก็คงไม่ได้ออกกำลังกายเสียที โดยพูดว่าไม่มีเวลาอยู่เหมือนเดิม คำแนะนำสุดท้ายก็คือ

หลักการ 80-20 กล่าวคือ พยายามกินอาหารที่ดี 80% ซึ่งอาจมีอาหารที่เลวปะปนเข้าสัก 20% พยายาม

ประพฤติแต่สิ่งที่ดี 80% ซึ่งอาจมีพฤติกรรมที่เลวตามความเคยชินหลงทำไปสัก 20%

พยายามปลีกเวลา 80% ไปออกกำลังกาย โดยเผื่อไว้สำหรับการขาดซ้อม 20% หรือไม่ได้ไปออกกำลัง

ตามกิจวัตรที่ตั้งใจด้วยความจำเป็นจริงๆ ผู้เขียนพบว่า มันลำบากที่จะปรับตัวในสัปดาห์แรกๆ

เท่านั้นแหละครับยิ่งพอได้มีกิจวัตรออกกำลังผ่านไปได้สักเดือนหนึ่งแล้ว โอกาสที่จะติดนิสัยความเคยชิน

ใหม่ๆจะเริ่มเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยจะทำไปอย่างปราศจากความพยายามเลยและเมื่อสักระยะหนึ่ง

พอเห็นผลว่าร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว คุณจะบอกว่า “รู้งี้ ทำมาเสียตั้งนานแล้ว”

แล้วจะกลายเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการชักชวนให้คนอื่นไปออกกำลังกายด้วยเหมือนผู้เขียนทำอยู่ไงครับ…

โดย กฤตย์ ทองคง

1
0
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณได้นะครับx
PATRUNNING.COM
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.